ข้อ ๑.เมื่อวันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๑ จำเลยได้ทำสัญญารับสภาพหนี้ไว้กับโจทก์โดยยินยอมจะชำระเงินจำนวน ๖๐,๐๐๐ บาท (หกหมื่นบาทถ้วน) ให้โจทก์ ตกลงแบ่งชำระเป็นรายงวดๆ ละ ๔,๐๐๐ บาท กำหนดชำระทุกวันที่ ๒ ของทุกเดือน จนกระทั่งครบจำนวน เริ่มชำระงวดแรกในวันที่ ๒ มีนาคม ๒๕๕๑ เป็นต้นไป รายละเอียดปรากฏตามสำเนาภาพถ่ายบันทึกประจำวันสถานีตำรวจนครบาลราษฎ์บูรณะเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข ๒
ข้อ๒.นับแต่จำเลยได้ทำข้อตกลงตามบันทึกประจำวันดังกล่าวกับโจทก์ ปรากฎว่าจำเลยผิดนัดไม่ปฎิบัติการชำระหนี้ให้กับโจทก์แต่อย่างใด ซ้ำยังหลบหน้าบ่ายเบี่ยงที่จะพบโจทก์เสมอมา ทั้งที่โจทก์และจำเลยทำงานที่เดียวกัน ในที่สุดโจทก์ก็ไม่สามารถติดต่อจำเลยได้อีก เนื่องจากจำเลยได้ลาออกจากงานไป ซึ่งการกระทำดังกล่าวของจำเลยทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย กล่าวคือไม่ได้รับชำระทั้งต้นเงินและดอกเบี้ย โจทก์จึงขอคิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี ของต้นเงิน จำนวน ๖๐,๐๐๐ บาท นับแต่วันที่จำเลยผิดนัดจนถึงวันฟ้อง เป็นเวลา ๓ เดือนเศษ แต่โจทก์ขอคิดเพียง ๓ เดือน เป็นเงิน ๒,๒๕๐ บาท และค่าติดตามทวงถามสืบหาที่อยู่จำเลย จำนวน 5,500 บาท รวมต้นเงิน ดอกเบี้ย และค่าติดตามทวงถาม เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น ๖๗,๗๕๐ บาท (หกหมื่นเจ็ดพันเจ็ดร้อยห้าสิบบาทถ้วน)
ข้อ ๓.ทั้งนี้ก่อนฟ้องคดีนี้โจทก์ได้มอบหมายให้ทนายความมีหนังสือบอกกล่าวทวงถามให้จำเลยชำระหนี้เงินรายนี้แล้ว แต่หนังสือบอกกล่าวทวงถามไม่อาจส่งถึงภูมิลำเนาจำเลยได้เนื่องจาก จำเลยมีชื่อปรากฏในทะเบียนบ้านกลาง ซึ่งเจ้าหน้าที่ บริษัทไปรษณีย์ไทย จำกัด รายงานว่าไม่มีผู้รับตามจ่าหน้า ให้คืนผู้ฝาก รายละเอียดปรากฏตามสำเนาภาพถ่ายหนังสือบอกกล่าวทวงถามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข ๓ และ ๔ ตามลำดับ
อนึ่งเนื่องสือรับสภาพหนี้ตามฟ้องนี้ ทำขึ้นที่ สถานีตำรวจนครบาลราษฎร์บูรณะ แขวงทุ่งครุ เขตทุ่งครุ ซึ่งอยู่ในอำนาจเขตศาลแขวงธนบุรี โจทก์จึงขอประทานกราบเรียนฟ้องจำเลยต่อศาลนี้
โจทก์ไม่มีทางอื่นใดที่จะบังคับจำเลยได้ จึงต้องนำคดีมาฟ้องต่อศาล เพื่อขอบารมีศาลเป็นที่พึ่ง
ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด